จัดทำโดย...
1.นางสาวกิ่งกาญจน์ กาลธิโร เลขที่ 20
2.นางสาวชญานี บัวทอง เลขที่ 22
3.นางสาวนุชนาถ สุวรรณมุณี เลขที่ 25
4.นางสาวรัชชฎาภรณ์ มุตตาหารัช เลขที่ 26
5.นางสาวปิยเนตร บัวผุด เลขที่ 47
อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน...อาจารย์การุณย์ สุวรรณรักษา
ในสมัยโบราณ เมื่อสตรีจะคลอดบุตรมักจะมีการจัดเครื่องบูชาสำหรับหมอตำแยเพื่อทำพิธีกรรมที่เป็น มงคลแก่แม่ และลูกที่จะคลอดออกมา เครื่องบูชามักจะประกอบด้วย ขันข้าว ซึ่งบรรจุด้วยข้าวสาร เงิน และสิ่งของต่าง ๆ ได้แก่ หมาก พลู ธูป เทียน และในจำนวนนี้จะต้องมีกล้วยอยู่เสมอ
เมื่อทารกอายุได้ประมาณ 3 เดือน และพร้อมที่จะรับประทานอาหารอื่นนอกจากนมแม่ได้แล้ว แม่จะเริ่มให้ลูกรับประทานกล้วยควบคู่กับนม เพราะเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย
เมื่อลูกโตขึ้น แม่ก็จะพยายามประดิษฐ์ของเล่นให้ลูก ของเล่นเหล่านั้นส่วนหนึ่งก็มาจากกล้วย เป็นต้นว่า
ในงานบวช และงานมงคลต่าง ๆ กล้วย มักจะถุนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของงานในลักษณะต่าง ๆ เสมอ เช่น
จวบจนกระทั่ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต มนุาย์เราก็ยังเกกี่ยวข้องกับกล้วยอย่างมิเสื่อมคลาย ในสมัยก่อน เขามักใช้ใบตองมารองศพ ใช้ต้นกล้วยมาสลักหยวก(แทงหยวก) ประดิษฐ์ในเมรุ หรือโลงศพ ใช้ต้นกล้วย ใบตอง ทำฐานเสียบดอกไม้ประดับในงานศพ "กล้วยเจ้าเอ๋ย...เจ้ามิเคยห่างหายไปจากข้าเราผูกพันกับเจ้า ตลอดมา และตัวข้าจะลืมเจ้าได้ฉันใดเล่าเพื่อนเอย"
บทคัดย่อ
ภูมิปัญญาท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่จะมีบทบาทในการดำเนินชีวิต วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของคนเราเป็นอย่างมาก ภูมิปัญญาก็เปรียบเหมือนการกระทำเพื่อเลี้ยงชีพของคนในพื้นที่นั้นๆ กระทำกันอยู่เป็นประจำจึงเกิดความเคยชินและติดเป็นนิสัยและมีการถ่ายทอดกันเป็นรุ่นๆ คือตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ภูมิปัญญาท้องถิ่นจำเป็นมากในการอนุรักษ์ให้คงอยู่เพื่อเป็นมรดกให้ลูกหลานได้รู้ว่าสมัยก่อนบรรพบุรุษได้สร้างสิ่งที่มีคุณค่าให้ลูกหลานได้ดู ได้รู้ และได้ทำ การนำเชือกกล้วยมาประดิษฐ์เป็นภาชนะใช้สอยต่างๆ ก็เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านหัวควาย ตำบลคูเต่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่ควรอนุรักษ์ไว้อีกอย่างหนึ่งเพราะเชือกกล้วยสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้และเป็นสินค้า OTOP ที่สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านและได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง การทำโครงงานนี้เริ่มจากการสำรวจภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เราสนใจ หาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง นำข้อมูลมาวิเคราะห์และลงมือปฏิบัติจนมีผลงานที่น่าประทับใจ ออกมาเป็นความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเชือกกล้วย
กิตติกรรมประกาศ
โครงงานภูมิปัญญาท้องถิ่นเรื่อง “เชือกกล้วยหรรษา”สำเร็จด้วยความกรุณาจาก นางเปียน จินดาวงศ์ ชาวบ้านหัวควาย หมู่ที่ 9 ตำบลคูเต่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่ได้มาเป็นผู้สอน ผู้ชี้แนะ ผู้สนับสนุน ในการสานเชือกกล้วยนี้และได้ให้ความรู้ถึงกระบวนการวิธีทำต่างๆ เพื่อเป็นความรู้แก่ข้าพเจ้า เพื่อนๆ และผู้ที่สนใจ ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง และขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์การุณย์ สุวรรณรักษา อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ที่ได้กรุณาข้อคิดเห็นในการนำข้อมูลที่ได้ทำโครงงานนี้นำไปเผยแพร่ลงใน Blogger เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงแก้ไขโครงงานให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ที่ศึกษาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
คณะผู้จัดทำ
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ต้นกล้วย
การปลูก ต้นกล้วย ด้วยหน่อ ที่ขุดแยกออกมาจากต้นแม่ ควรเลือกหน่อที่สมบูรณ์ แต่ยังไม่สูงนักเลือกหน่อ กล้วยที่ใบเล็ก ๆ เรียว ที่เรียกว่าหน่อใบดาบ ซึ่งจะสูงประมาณ 2-3 ฟุต เพราะถ้าใช้หน่อที่โตเกินไป อาจจะทำให้กล้วยชะงักการเจริญเติบโตได้ การปลูกกล้วยด้วยหน่อนั้นถ้าต้องการให้กล้วยออกเครือในทิศทางเดียวกัน ก็ให้ปลูกโดยหันรอยแผลของหน่อไว้ในทิศทางเดียวกัน ต้นกล้วย ก็จะออกใน ทิศทางตรงกันข้ามกับรอยแผลเหมือนกันหมดซึ่งจะสะดวกต่อการตัดเครือ ในภายหลัง
การปลูก ต้นกล้วย ด้วยเมล็ด วิธีนี้ไม่ค่อยนิยมกันมากนักเหมาะกับกล้วย บางชนิดเท่านั้นอาจใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่เคยทำกันมาแต่ก่อน ด้วยการเพาะเมล็ดพันธุ์ในกระทงใบกล้วย กระบอกไม้ไผ่ หรือเพาะบนแปลงทดลองหลังจากต้นอ่อนเติบโตสูงได้ประมาณ 1 ฟุต ก็แยกลงหลุมปลูกต่อไป
การปลูก ต้นกล้วย โดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นวิธีการขยายพันธุ์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งจะเป็นที่นิยม กันมากในอนาคต เพราะสามารถขยายพันธุ์กล้วยได้เป็นจำนวนมาก ได้กล้วยพันธุ์แท้ และคุณภาพดี เราอาจจะใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทดลองการเพาะเนื้อเยื่อตามกระบวนการหรือติดต่อขอซื้อต้นพันธุ์ จากหน่วยงานทางการเกษตรที่เพาะเนื้อเยื่อมาปลูกได้
หลังจากปลูกต้นกล้วยกล้วยในบริเวณพื้นที่ ที่เตรียมไว้แล้วสิ่งที่ต้องเอาใจใส่ ่ก็คือการให้น้ำต้นกล้วยอย่างเพียงพอแต่อย่าให้น้ำท่วมขังเพราะจะทำให้ รากของกล้วยเน่าได้ปุ๋ยที่ให้ควรเป็นปุ๋ยธรรมชาติหากกล้วยสมบรูณ์ดี ก็จะออกเครือหลังจาการปลูกประมาณ 8-12 เดือนก่อนออกเครือ กล้วยจะแทงหน่อจำนวนมาก เราต้องทำลายหน่อทิ้ง เว้นไว้เพียง 1-2 หน่อ ก็พอเพื่อไม่ให้แย่งอาหารแต่ข้อระวังอย่าขุดแยกหน่อในขณะกล้วยออกเครือ เด็ดขาด จะทำให้ผลกล้วยเติบโตไม่เต็มที่ นอกจากนี้ ก็คอยทำลายวัชพืช และดูแลสวนกล้วยให้โล่งเตียน
โรคของกล้วยที่ควรระวังก็คือ โรคตายพราย โรคยอดม้วน โรครากเน่า และพวกหนอนแมลงต่าง ๆ ที่จะทำลายลำต้น ใบและผลของกล้วยได้ แต่ถ้าหากเราให้น้ำและปุ๋ยเพียงพอ ต้นกล้วยจะแข็งแรงไม่ค่อยมีโรค
ข้อควรระวังอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าเครือกล้วยมีขนาดใหญ่ น้ำหนักมากจะต้องหาไม้มาค้ำก้านเครือกล้วยเพื่อช่วยรับน้ำหนัก ไม่ให้ก้านเครือกล้วยหักก่อนที่ผลเครือกล้วยจะแก่
ต้นกล้วย จะเห็นว่ากล้วยเป็นพืชเศรษฐกิจที่ปลูกง่าย ใช้เวลาสั้น มีประโยชน์มากมาย กินก็ได้ ขายก็ได้ เรามาลองปลูกกล้วยกันเถอะ
ประโยชน์ของกล้วย
เราคงจะไม่ปฏิเสธว่า "กล้วย" เกี่ยวข้องและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่ง สิ้นอายุขัย...ในสมัยโบราณ เมื่อสตรีจะคลอดบุตรมักจะมีการจัดเครื่องบูชาสำหรับหมอตำแยเพื่อทำพิธีกรรมที่เป็น มงคลแก่แม่ และลูกที่จะคลอดออกมา เครื่องบูชามักจะประกอบด้วย ขันข้าว ซึ่งบรรจุด้วยข้าวสาร เงิน และสิ่งของต่าง ๆ ได้แก่ หมาก พลู ธูป เทียน และในจำนวนนี้จะต้องมีกล้วยอยู่เสมอ
เมื่อทารกอายุได้ประมาณ 3 เดือน และพร้อมที่จะรับประทานอาหารอื่นนอกจากนมแม่ได้แล้ว แม่จะเริ่มให้ลูกรับประทานกล้วยควบคู่กับนม เพราะเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย
เมื่อลูกโตขึ้น แม่ก็จะพยายามประดิษฐ์ของเล่นให้ลูก ของเล่นเหล่านั้นส่วนหนึ่งก็มาจากกล้วย เป็นต้นว่า
· นำก้านกล้วยมาทำเป็นปืนเด็กเล่น
· นำก้านกล้วยมาทำเป็นม้าสำหรับขี่
· นำใบตองมาม้วนทำเป็นปี่สำหรับเป่า
· นำหยวกกล้วยมาทำเป็นทุ่น หรือแพ สำหรับหัดว่ายน้ำ
ในวัยศึกษาเล่าเรียน กล้วย ก็เข้ามาสู่ห้องเรียนในลักษณะต่าง ๆ เช่น· ผูกเป็นปริศนาให้ทาย เช่น "อะไรเอ่ย ต้นเท่าขา ใบวาเดียว"
· ใช้เปรียบเทียบกับความงามของสุภาพสตรีในวรรณคดี เช่น "เรื่องกามนิต-วาสิฏฐี ที่ว่า ขาเธองามดุจลำกล้วย"
· ใช้ในคำพังเพยเปรียบเทียบการทำลายล้างเผ่าพันธุ์อย่างถอนรากถอนโคลน "โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก"
· ใช้ในสำนวนหรือคำพังเพยแสดงความหมายว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ เช่น ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก เรื่องกล้วย ๆ กล้วยมาก
ตลอดช่วงชีวิตมนุษย์ สามารถใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของกล้วย เช่น ใช้เป็นอาหารคาว หวาน ใช้ประดิษฐ์เป็ฯของใช้ ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคในงานบวช และงานมงคลต่าง ๆ กล้วย มักจะถุนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของงานในลักษณะต่าง ๆ เสมอ เช่น
· ใบตองกล้วย ถูกนำมาใช้ประดิษฐ์เป็นบายศรีเป็นส่วนประกอบ ของพวงมาลัย
· ก้านกล้วย และใบตอง นำมาใช้เป็นกระทง
· กล้วยทั้งเครือ นำมาประดับบ้าน เวลามีงานมงคล
เมื่อถึงคราวที่หนุ่ม สาวจะเข้าสู่พิธีแต่งงานกล้วยจะเป็นพืชชนิดหนึ่ง ที่มักจะนำมาใช้ เป็นส่วนประกอบของงานเสมอ เช่น · ใช้ต้นกล้วยเป็นส่วนประกอบในขบวนแห่ขันหมาก
· ใช้ผลกล้วย ใบกล้วย ก้าน และหยวกกล้วย เป็นส่วนประกอบในการประกอบพิธีการต่าง ๆ
ในการปลูกสร้างบ้านเรือนกล้วยจะเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำพิธียกเสาเอกลงหลุมโดยเขามัก จะใช้หน่อกล้วยและต้นอ้อยผูกไว้ที่ปลายเสาเอกและเมื่อทำพิธียกเสาลงหลุมเสร็จก็จะปลดเอาหน่อกล้วย และต้นอ้อย ไปปลูกไว้ในบริเวณใกล้บ้าน พยายามประคับประคองให้เจริญงอกงามเพราะถือว่าเป็น เครื่องเสี่ยงทายความอุดมสมบูรณ์ของเจ้าของบ้าน จวบจนกระทั่ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต มนุาย์เราก็ยังเกกี่ยวข้องกับกล้วยอย่างมิเสื่อมคลาย ในสมัยก่อน เขามักใช้ใบตองมารองศพ ใช้ต้นกล้วยมาสลักหยวก(แทงหยวก) ประดิษฐ์ในเมรุ หรือโลงศพ ใช้ต้นกล้วย ใบตอง ทำฐานเสียบดอกไม้ประดับในงานศพ "กล้วยเจ้าเอ๋ย...เจ้ามิเคยห่างหายไปจากข้าเราผูกพันกับเจ้า ตลอดมา และตัวข้าจะลืมเจ้าได้ฉันใดเล่าเพื่อนเอย"
ที่มาและความสำคัญ
สมัยก่อนตำบลคูเต่า มีการปลูกต้นกล้วยไว้มากมาย เพื่อนำส่วนต่างๆไปใช้ประโยชน์ เช่น ใบนำไปทำกระทงหรือใช้เป็นภาชนะใส่อาหาร ผลกล้วยและหยวกนำไปทำอาหาร เป็นต้น ภายหลังมีการปลูกต้นกล้วยเพิ่มมากขึ้นชาวบ้านจึงคิดที่จะทำประโยชน์จากต้นกล้วยเพิ่มขึ้นจึงนำกาบกล้วยมาตากแห้งและแปรรูปมาเป็นเครื่องใช้สอยต่างๆ เช่น กระเป๋า รองเท้า กล่องใส่กระดาษทิชชู่ เป็นต้น และมีการทำกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน แต่ปัจจุบันนี้เด็กวัยรุ่นยุคนี้ไม่ค่อยที่จะเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่นของการสานเชือกกล้วย
กลุ่มของข้าพเจ้าจึงเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่นในการสืบสานการสานเชือกกล้วย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้ให้คงอยู่ต่อไป
วัตถุประสงค์ของโครงงาน
1.เพื่อศึกษาเรื่องภูมิปัญญาที่เกี่ยวกับเชือกกล้วย
2.เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น
3.เพื่อนำความรู้ไปเผยแพร่ให้แก่ผู้ที่สนใจ
ขอบเขตของการทำโครงงาน
การศึกษาการสานเชือกกล้วยในครั้งนี้ศึกษาเฉพาะการนำเอากาบกล้วยมาแปรรูปเป็นเชือกกล้วยซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวบ้านหัวควาย หมู่ที่ 9 ตำบลคูเต่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เท่านั้น กำหนดเวลาที่ใช้ในการศึกษาคือ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา
ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงาน
ทำให้ทราบถึงกระบวนวิธีการต่างๆ ตั้งแต่การทำเชือกกล้วยจนถึงการสานเชือกกล้วยและได้นำความรู้ที่ได้รับจากการทำโครงงานนี้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และ เผยแพร่ให้ผู้สนใจโดยทั่วไป
วิธีการดำเนินงาน
สถานที่ศึกษา
-จุดถ่ายทอดความรู้เรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์เชือกกล้วย เลขที่ 52 บ้านหัวควาย ม.9 ต.คูเต่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาโทร.074-470-271
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษา
อุปกรณ์ในการทำเชือกกล้วย | อุปกรณ์ในการสานเชือกกล้วย |
1.มีดพร้าและมีดเล็กๆ 2.โอ่งสำหรับอบ 3.กำมะถัน 4.แล๊กเกอร์ 5.กรรไกร | 1.เชือกกล้วย 2.แบบ 3.เข็ม 4.ไม้วัด 5.มีด 6.เครื่องรีด |
วิธีการทำเชือกกล้วย
1.ตัดต้นกล้วยที่ออกปลีแล้วตามขนาดที่ต้องการ
2.แกะออกเป็นกาบๆ
3.กรีดออกเป็นเส้นๆ
4.ตากแดดประมาณ 5 วัน (แดดดีๆ)
6.อบกำมะถันในโอ่งประมาณ 1วัน 1 คืน
7.นำมารีดกับเครื่องรีดแล้วขึ้นแบบต่างๆ
8.เสร็จแล้วนำไปตากแดด
9.ทาแล๊กเกอร์แล้วนำไปตากแดดอีกครั้งหนึ่งเป็นอันเสร็จ
ผลการศึกษาค้นคว้า
จากที่ได้ศึกษาโครงงานเรื่อง“เชือกกล้วยหรรษา”ก็ได้รู้และเข้าใจในกระบวนการวิธีการต่างๆ ในการทำเชือกกล้วยและการสานและได้รู้เกี่ยวกับประโยชน์ของเชือกกล้วยและต้นกล้วยที่สามารถนำความรู้ตรงนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันของเราได้
สรุปและข้อเสนอแนะ
สรุปการศึกษา
จากที่ได้ศึกษาโครงงานเรื่อง“เชือกกล้วยหรรษา”ผลการศึกษาพบว่า การนำความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวบ้านหัวควายที่รู้จักหาประโยชน์จากต้นกล้วยจนสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านอย่างมากมาย
ข้อเสนอแนะ
- ควรมีการทดลองนำใยพืชอื่นๆ มาแปรรูปเป็นงานสาน
www.dsc.ac.th/inweb/student_job/ann/banana4.htm เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับต้นกล้วย
www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/musa.html เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับประโยชน์ของต้นกล้วย